สืบทรัพย์สินทำไม?
หลายครั้งที่ลูกค้าถามว่าฟ้องแล้วจะได้เงินคืนไหม คำตอบของคดีแพ่งคือการได้รับชำระหนี้ ผลของการทำคดีแพ่งที่จะตอบได้ว่าชนะคดี 100% คือความสามารถในการสืบทรัพย์ การบังคับคดีมีอายุความ 10 ปีเท่านั้น หากไม่สามารถสืบทรัพย์ได้เลยก็จะเป็นการทำคดีที่ได้แต่เพียงคำพิพากษาเท่านั้น การสืบทรัพย์มีทั้งก่อนฟ้องคดีและภายหลังการฟ้องคดี
ทรัพย์สินที่สามารถบังคับคดีได้หมายถึงทรัพย์สินที่เจ้าหนี้สามารถนำไปขายทอดตลาดหรือยึดได้เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล โดยทั่วไปแล้วจะประกอบไปด้วยทรัพย์สินที่สามารถนำมาใช้ชำระหนี้ได้ เช่น:
เงินสด – ทั้งในรูปของเงินที่อยู่ในบัญชีธนาคารหรือเงินสดที่อยู่ในมือ
ทรัพย์สินที่มีมูลค่าสามารถขายได้ – เช่น รถยนต์ บ้าน อาคาร หรือที่ดิน
ทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางการค้า – เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ
หุ้น หรือหลักทรัพย์ – สามารถนำไปขายทอดตลาดได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม, มีทรัพย์สินบางประเภทที่ไม่สามารถบังคับคดีได้ เช่น ทรัพย์สินที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของบุคคล เช่น เสื้อผ้า, เครื่องใช้ส่วนตัว, หรือบางกรณีทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ไม่สามารถนำไปขายทอดตลาดได้ตามกฎหมาย
การบังคับคดีจะดำเนินการโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งจะมีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินและดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เงินเดือนที่สามารถบังคับคดีได้หมายถึงส่วนของเงินเดือนที่สามารถถูกหักเพื่อชำระหนี้ได้ตามคำพิพากษาของศาล โดยทั่วไปกฎหมายไทยจะกำหนดอัตราส่วนของเงินเดือนที่สามารถถูกหักได้ และมีข้อจำกัดเพื่อให้ผู้ที่ถูกบังคับคดีสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสม โดย
การหักเงินเดือน: เงินเดือนที่สามารถบังคับคดีได้จะมีการหักได้สูงสุดไม่เกิน 1 ใน 3 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างต่อเดือน (หากไม่มีการตกลงกันล่วงหน้า) ซึ่งหมายความว่าเจ้าหนี้สามารถหักเงินได้ไม่เกิน 1/3 ของเงินเดือนที่ได้รับ หลังจากหักค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีวิต
ยกเว้นเงินเดือนขั้นต่ำ: ตามกฎหมาย เงินเดือนที่ถูกหักต้องเหลือขั้นต่ำสุดสำหรับการดำรงชีวิต ซึ่งเงินจำนวนนี้จะขึ้นอยู่กับสถานะและความจำเป็นของผู้ถูกบังคับคดี ตัวอย่างเช่น หากผู้ถูกบังคับคดีมีภาระครอบครัวหรือมีการพิสูจน์ถึงความจำเป็นในเรื่องการใช้ชีวิต เงินเดือนที่ถูกหักอาจจะน้อยลง
สังหาริมทรัพย์ที่สามารถยึดได้ เช่น เงินสด รถยนต์ เครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าคงคลังของธุรกิจ เช่นเครื่องใช้สำนักงาน ต่างๆ การเข้ายึดทรัพย์สินกระทำโดยพนักงานของเราซึ่งร่วมกับเจ้าพนักงานบังคับคดีจะเข้ายึดสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ และทรัพย์ที่ถูกยึดจะถูกจดบันทึกและตีราคาหากทรัพย์ถูกเก็บไว้ในที่พักอาศัยหรือพื้นที่ส่วนตัว ต้องมี หมายค้นจากศาล ทรัพย์สินที่ถูกยึดจะถูกนำออกขายทอดตลาดโดยกรมบังคับคดี เงินที่ได้จากการขายจะถูกนำไปชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามลำดับ
การยึดอสังหาริมทรัพย์นั้น ก่อนที่เจ้าหนี้จะสามารถยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ ต้องผ่านเงื่อนไขที่ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย เช่น มีคำพิพากษาหรือมีสัญญาที่ใช้บังคับคดีได้ และลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ภายในเวลาที่กำหนด และเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอหมายบังคับคดี ต่อศาล หากเงื่อนไขครบถ้วน ศาลจะมีคำสั่งให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ การเข้ายึดทรัพย์สินกระทำโดยพนักงานของเราซึ่งติดตามสถานะของเจ้าพนักงานบังคับคดีออกไป ปิดหมายประกาศยึดทรัพย์ ไว้ที่อสังหาริมทรัพย์ ทำการบันทึกการยึดไว้ใน ทะเบียนที่ดิน ที่สำนักงานที่ดิน โดยขั้นตอนนี้ลูกหนี้ยังสามารถชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนทรัพย์ได้ก่อนขายทอดตลาด หากลูกหนี้ของท่านปล่อยวางถึงขั้นการขายทอดตลาดแล้วหากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนด กรมบังคับคดีจะประกาศขายทรัพย์สินโดยวิธี ประมูลขายทอดตลาด เงินที่ได้จากการขายจะถูกนำไปชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามลำดับ
การอายัดสิทธิเรียกร้อง เป็นกระบวนการบังคับคดีที่เจ้าหนี้ขอให้ศาลสั่งอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ เช่น เงินเดือน เงินปันผล หรือสิทธิในสัญญาต่าง ๆ เพื่อใช้ชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้ของลูกหนี้ แต่ว่า หากลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องเหล่านี้ เจ้าหนี้สามารถขอให้ศาลออกคำสั่งอายัดได้ เจ้าหนี้ต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ออกคำสั่งอายัดสิทธิเรียกร้อง ศาลจะพิจารณาว่าคำร้องมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ หากศาลเห็นชอบ จะออกคำสั่งอายัดไปยังบุคคลที่สาม (เช่น นายจ้างหรือธนาคาร) บุคคลที่สามต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล ต้องนำเงินที่ถูกอายัดส่งให้กรมบังคับคดี และกรมบังคับคดีจะจัดสรรเงินให้เจ้าหนี้โดยสั่งจ่ายแทนลูกหนี้ ในทางปฎิบัติพบว่าจะเป็นเช็คสั่งจ่ายจากกรมบังคับคดี
หากไม่มีทรัพย์ให้ยึดหรืออายัด การบังคับคดีจะไม่สามารถทำได้ และ หากไม่สามารถบังคับคดีได้ภายใน 10 ปี ก็จะหมดสิทธิบังคับคดี การได้รับชำระหนี้คืนจะทำไม่ได้